9/11/56

แต้ม

[KK Topic : แต้ม]
ในวันหนึ่ง ๆ มนุษย์มีความคิดเกิดขึ้นในหัวไม่ต่ำกว่า 3 – 4 หมื่นเรื่อง หากเปรียบความคิดนั้นเป็นจุดสีก็จะมีจุดสีแห่งความรัก เงินทอง ครอบครัว เพื่อนฝูง และจุดสีอื่น ๆ เกิดขึ้นมากมายจนเต็มผืนผ้าใบ ส่วนจะสวยงามหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของความคิดว่าจะสามารถจัดสรรจุดสีเหล่านั้นให้เกิดเป็นภาพป่าเขาหรือพื้นที่แห้งแล้ง ภาพต้นไม้หรือตอไม้ ภาพสวรรค์หรือนรก
การที่ศิลปินสามารถแต่งแต้มจุดสีลงบนผืนผ้าใบให้เกิดเป็นรูปภาพอันแสนวิจิตรสวยงาม จนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้รับชมได้นั้น ต้องผ่านการฝึกฝนจิตใจภายในตัวศิลปินให้สามารถเชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้ตามทัศนคติและมุมมองที่มีอยู่ในขณะนั้นอย่างหนัก จนสามารถเรียงจุดสีเป็นเส้นสายและกลายเป็นรูปภาพได้ตามต้องการในที่สุด
เราทุกคนต่างมีผืนผ้าใบเป็นของตนเองที่สามารถแต่งแต้มให้สวยงามหรือเลอะเทอะเพียงใดก็ได้ แต่มีกฎข้อหนึ่งที่เรามักไม่สนใจทั้งที่ทราบกันดีก็คือ

ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ถ้าวาดผิด

เมื่อวาดผิดมีทางแก้เพียงทางเดียวคือการวาดต่อเติมจากจุดที่ผิดให้กลายเป็นรูปอื่น ผ้าใบของใครหลายคนจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยจุดสีแก้ไขซึ่งต้องแลกกับเวลาและความรู้สึกที่เสียไปกับการแก้ไขนั้น แต่ก็จะได้กฎอีกข้อหนึ่งเพิ่มขึ้นมาก็คือ

แม้ว่ารูปจะไม่เหมือนตามที่ใจคิดแต่มันก็จะเป็นไปตามความจริงที่เกิดขึ้น

ผ้าใบอาจเรียบร้อยสวยงาม อาจดูไม่ออกว่ามันคือรูปอะไร อาจเต็มไปด้วยรอยแก้ไขมากมาย แต่ไม่มีใครเลยที่จะไม่เคยแต้มสีแก้ไขเพราะไม่มีใครเลยที่จะสมบูรณ์แบบนอกเสียจากว่าผืนผ้าใบนั้นเป็นผืนผ้าใบที่ ไร้การแต้มสีใด
ทางแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ทั้งจากการรับฟังผู้มีประสบการณ์ ทั้งจากการดูตัวอย่างผืนผ้าใบอันอื่น ทั้งจากการทดลองแต้มสีที่อื่นก่อนแต้มจริง ทั้งจากการเลียนแบบการแต้มสีของคนอื่น
ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับการแก้ไขเพราะชีวิตยังมีสีไว้ให้แก้ไขเสมอ บางคนที่มีสีทึมทะมึนมาตลอดชีวิตอาจโชคดีได้พบสีแห่งความรักที่แสนสวยงามจากผู้ช่วยศิลปินที่มาช่วยแต่งแต้มให้ ซึ่งเป็น สีแห่งความหวัง ที่ทุกคนต้องการมาตลอดชีวิตและออกเดินทางตามหามันด้วยความหวังนั้น
ความมืดสวยงามได้เมื่อมีแสงดาวแต้ม ทุ่งหญ้าสดชื่นขึ้นเมื่อมีดอกไม้เบ่งบาน ความสวยงามเพียงเล็กน้อยช่วยแต่งแต้มภาพพื้น ๆ อันแสนธรรมดาให้สดใสสวยงามขึ้นได้อย่างน่ารื่นรมย์
หากเปรียบภาพสีทึบ ๆ ธรรมดา ๆ เป็นชีวิตของผู้ชายหนึ่งคน การมีสีสดใสสว่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่งมา แต้มลงบนภาพนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตของผู้ชายคนนั้นสวยงามและมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิม



A.nonnawin

23/10/56

จง อยู่ อย่าง อยาก


KK Topic : จง อยู่ อย่าง อยาก

ในวันที่เจอลุงแซกท่าพระจันทร์ ชาว KK ได้ไปต่อกันที่ร้านกาแฟแถวถนนพระสุเมรุก่อนไปกินข้าวเย็นและกลับบ้าน จนเมื่อวานนี้ (22 ต.ค.56) เอสสาวได้กลับไปเยือนที่ร้านนั้นอีกครั้งและนั่งคุยกับเจ้าของร้านอยู่เกือบ 10 ชั่วโมง!!! อ่านไม่ผิดหรอกครับด้วยเวลาขนาดนี้สามารถนั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่ กินข้าวซอยลำดวน แล้วตบตูดด้วยกาแฟวาวีซอยมังกี้ได้สบาย ๆ

ปกติชาว KK นั่งสุมหัวกันได้เต็มที่ไม่เกิน 4 ชั่วโมงก็ต้องแยกย้ายไปทำภารกิจส่วนตัวกันแล้ว แต่เมื่อวานเกิดเหตุสุดวิสัยเพราะเจ้าของร้านไม่ยอมปล่อยให้นักกีตาร์โปร่งขั้นเทพที่มีเสียงร้องระดับนางฟ้าอย่างเอสสาวของเรากลับบ้านไปได้ง่าย ๆ เอสหนุ่มผู้โดนลากมานั่งด้วยเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนจนได้รับอิสระ แต่การนั่งคุยกับพี่เค้าก็ทำให้ได้แง่คิดชีวิตมากมายจนกลายเป็นที่มาของ KK Topic ในวันนี้

บ่ายแก่ ๆ เอสหนุ่มต้องไปเอารถยนต์ที่อู่แถวแยกพิชัย ขากลับคิดว่าจะแวะร้านกาแฟที่นั่งมาราธอนกันเมื่อวาน (ไม่เข็ด) แต่โชคชะตาก็ได้พาให้พบกับร้านกาแฟสุดแนวที่ห่างกันแค่เพียง 4 คูหากั้นเท่านั้น

เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไปก็ได้พบกับหนังสือมากมายถูกวางอยู่บนชั้นข้างกำแพงทั้งสองด้าน ตามด้วยข้างบันได ต่อด้วยริมหน้าต่าง ขึ้นไปจนถึงชั้นสองซึ่งเป็นที่นั่งดื่มกาแฟของร้าน แถบหนึ่งของกำแพงมีหนังสือเรียงกันเป็นตับ อีกแถบหนึ่งมีรูปภาพสำหรับขายเต็มกำแพง ทำให้เกิดความสงสัยว่าร้านนี้เป็นร้านขายหนังสือ หรือร้านขายกาแฟ หรือร้านขายรูปกันแน่ (วะ)

ความกลมกลืนกันระหว่างเพลงแนวศุ บุญเลี้ยงที่เคล้าคลอกับกลิ่นหนังสือผสมกับเอกลักษณ์ในการตบแต่งร้านอย่างมีศิลปะได้สร้างบรรยากาศและมุมสวย ๆ ไว้หลายมุม หลังจากที่เอสหนุ่มถ่ายรูปแบบถูกใจตามหลักกูแต่ไม่ถูกต้องตามหลักการเสร็จแล้วก็ได้คุยกับเจ้าของร้านเล็กน้อย

พอพูดคุยกันเสร็จก็นั่งดื่มหนังสืออ่านกาแฟ เอ๊ย!! ดื่มกาแฟอ่านหนังสือ ระหว่างนั้นก็สงสัยว่าร้านหนังสือเล็ก ๆ แค่หนึ่งคูหา ไม่ได้อยู่ในห้าง ไม่มีสื่อประชาสัมพันธ์อะไร อยู่มาได้ยังไงตั้งสิบปีนะ?

ความสงสัยทำให้นึกถึงบทสนทนากับพี่เจ้าของร้านกาแฟเมื่อวานนี้ ซึ่งนอกจากพี่เค้าจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟแล้ว ยังเป็น บก.นิตยสารเล่มหนึ่งที่มีสำนักงานใหญ่อยู่แถวถนนพระอาทิตย์ด้วย..

รู้จักหอยทากกันใช่มั้ยครับ หอยทากมันรู้นะว่าจะคลานไปไหน แล้วมันก็คลานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่หมาย โดยไม่สนใจแม้แต่นิดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ จะโดนรถเหยียบมั้ย จะเดี้ยงระหว่างทางรึเปล่า...ฟังดูดีเนอะ..น้องหอยทากช่างมุ่งมั่นและมีความเพียรเหลือล้นจริง ๆ

แต่พี่เค้าบอกว่าไม่อยากมีชีวิตแบบหอยทากเพราะการทำตามความอยากบางอย่างมันเป็นการสูญเปล่าทั้งเวลาและเงินทอง หอยทากอาจจะคลานไปได้จนถึงจุดหมาย แต่ในระหว่างที่คลานมันจะ ไม่ได้อะไรเลยเพราะมันมุ่งที่จะคลานเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีการศึกษาเรียนรู้วิธีคลานให้เร็วขึ้น ไม่มีการหาเส้นทางที่ปลอดภัย ไม่มีการเพิ่มทักษะการคลานให้เหนื่อยน้อยลง ไม่พัฒนาชีวิต

มนุษย์เป็นสัตว์ที่ใช้สมองมากกว่ากำลัง แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์ยอมหมดเวลา หมดเงินไปกับความอยากที่สูญเปล่าและไม่ช่วยให้ชีวิตพัฒนาขึ้น ในขณะที่มนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะหมดเงินและเวลาไปกับความอยากที่พัฒนาชีวิตจนประสบความสำเร็จ แล้วจึงหันกลับมาสนองความอยากที่ไม่พัฒนาชีวิตอย่างการกินเหล้า เที่ยวกลางคืน แทงบอล ลุ้นหวย ลงอ่าง ฯลฯ

พี่เค้าเป็นมนุษย์กลุ่มนั้นครับ แล้วทุกวันนี้พี่เค้ามีครอบครัวที่อบอุ่น มีงานที่รัก มีร้านกาแฟส่วนตัว มีเงินและเวลาไว้สนองความอยากตัวที่สองจากการดื่มไวน์ราคาแพง เที่ยวผับหรูได้อย่างสบาย แถมมีเหลือมากพอที่จะแบ่งปันให้กับสังคมอีกด้วย..

เล่ามาจนจะจบแล้วสงสัยมั้ยครับว่ามันเกี่ยวกับหัวข้อและร้านกาแฟร้านนี้ตรงไหน?...ลองสังเกตดูสิครับมันถูกเฉลยไปหมดแล้วล่ะ..


A.nonnawin


21/10/56

ear in heart


[KK Topic : ear in heart]
                    วันหยุดของชาว “กัลยาณมิตร กรุงเกษม (KK)” หรือกลุ่มที่มีชื่อเล่นน่ารักน่ากินว่า “แปะก๊วยนมสด” มักนัดชุมนุมกันหมกตัวอยู่ในมุมสงบที่หลบอยู่ในซอกหลืบของกรุงเทพมหานครเมืองที่ไม่เคยหลับ เมืองที่ขยับตลอดเวลา

                    เพื่อหลบความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความเร่งรีบ ความว้าวุ้นจากชีวิตเมืองหลวง ชาว KK จึงชอบไปร้านกาแฟอินดี้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเพราะมีคนน้อยเนื่องจากจะมีแต่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้บริการ และเมื่อมีคนน้อยเราก็เฮฮากันได้เต็มที่ ที่สำคัญคือสามารถนั่งนานเท่าไหร่ก็ได้แม้ว่าจะสั่งกาแฟเพียงแค่แก้วเดียว มันจึงกลายเป็นสถานที่แห่งกาลเวลาที่เรายอมหมดเวลาหลายชั่วโมงไปกับกิจกรรมแค่หนึ่งหรือสองอย่างแต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็หมดวันซะแล้ว

                    ในกลุ่มจะมี “สแกนเนอร์” หรือ “เอส” (มาจากตัว S.ของคำว่า Scanner) อยู่สองคนที่คอยหาร้านกาแฟอินดี้ใหม่ ๆ ไว้ไปเอะอะในร้านเค้า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เอสเจอเป้าหมายใหม่แถวถนนพระสุเมรุจึงนัดกันไปเติมพลังที่ท่าพระจันทร์ก่อนไปดำเนินการตามแผน

                    ท่าพระจันทร์ไพเราะกว่าที่เคยเพราะมีเสียงแซกโซโฟนนุ่มลุ่มลึกไต่โน้ตขึ้นลงเป็นเสียงเพลงคลอเคลียกับผู้คนที่เดินไปมาประหนึ่งการเต้นระบำประกอบบทเพลง เอสสาวผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนักดนตรีหันมาบอกกับเอสหนุ่มผู้ที่ไม่กระดิกเรื่องดนตรีเลยแม้แต่น้อยว่า “เพราะอ่ะ” แล้วก็พากันไปกินข้าวและซื้อหนังสือคนละเล่ม

                    หลังจากนั้นเอสสาวก็เดินเลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ส่วนเอสหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจการช้อปปิ้งมาแต่ไหนแต่ไรจึงเดินไปหาต้นเสียง แล้วภาพของชายผมขาววัยกลางคนในชุดโปโลลายขวาง ใส่กางเกงขายาวสีเข้ม สวมรองเท้าแตะ นั่งบนเก้าอี้พลาสติกโล้นสีน้ำเงินใต้ร่มเซเวนเซ่น กำลังบรรเลงเพลงจากแซกโซโฟนสีทองก็ปรากฎอยู่บนแววตาของเอสหนุ่ม

                    แม้จะไม่ประสีประสาเรื่องดนตรีแต่ก็ชอบฟังเพลงที่รังสรรค์และบรรเลงเพลงตามใจศิลปินเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นเพลงที่มาจากลุงบ้าน ๆ แต่งตัวธรรมดาด้วยแล้วยิ่งโดนใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งก็ได้เห็นใบหน้าของลุงที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งเวลาชีวิตและร่องรอยแห่งความสุขจากการใช้ลมหายใจสร้างเสียงเพลง แม้ว่าตาจะบอดก็ตาม

                    ลมหายใจคือชีวิตยังเป็นคำที่ใช้ได้และมีความหมายดีเสมอ โดยเฉพาะลุงแซกที่พิการเพียงสายตาแต่ไม่ได้พิการหัวใจ หัวใจที่ยังมีไฟ ยังมีกำลังพาร่างกายออกมาหาเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพสุจริต มันทำให้เกิดความโดดเด่นจนแตกต่างจากผู้พิการคนอื่นที่อยู่อีกด้านของถนนได้อย่างมีคลาสและมีรสนิยม

                    ในขณะที่เราใช้ลมหายใจอย่างไร้คุณค่าด้วยการหายใจทิ้งไปวัน ๆ แต่ลุงได้แปรเปลี่ยนลมหายใจอันแสนธรรมดามาเป็นเครื่องมือในการหล่อเลี้ยงชีวิต
                    ในขณะที่ “หู” ของคนทั่วไปอาจเฉย ๆ กับเสียงแซกที่ลุงเป่าเพราะมันเทียบไม่ได้เลยกับเสียงแซกจากมืออาชีพระดับโลก แต่สิ่งที่ทำให้เสียงแซกของลุงไพเราะยิ่งกว่าเสียงแซกใด ๆ คือการเล่นดนตรีด้วย “หัวใจ” และมันจะไพเราะยิ่งขึ้นถ้าคุณใช้ “หัวใจ” ฟัง

                    หนังสือที่เอสหนุ่มเลือกมาเป็นหนังสือมุมมองเชิงบวกของคุณหมอเมืองเพชบูรณ์ที่มีชื่อเก๋ ๆ ว่า “มองโรคแง่ดี” บรรทัดหนึ่งในหลายพันบรรทัดของหนังสือเล่มนี้เขียนว่า
                    “ลองมองที่หัวใจสิครับ เห็นมั้ย ตรงกลางของ heart นั้นมี ear ซ่อนอยู่”


A.nonnawin

8/7/56

29.06.56 ร่วมงานหล่อพระปูนที่ วัดเขาใหญ่ สุพรรณบุรี

วันนั้น คณะกัลยาณมิตร กรุงเกษม (แปะก๊วยนมสด) เดินทางไปเข้าร่วมงานหล่อพระปูนที่ วัดเขาใหญ่ สุพรรณบุรี เพื่อนๆทุกคนมีความตั้งใจที่จะเดินทางในครับนี้ บางคนต้องตื่นแต่เช้ามืด ตี4 เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไป สุพรรณบุรี ด่านช้าง การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาราว สามชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก่อนออกเดินทางผู้นำทางมีความกังวลนิดหน่อยเนื่องจากจำเส้นทางไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ คุณมิกได้ให้แผนที่ไว้ บวกกับมีน้องGPS ตัวจิ๊ดบอกทางอยู่ตลอดเวลา จึงสามารถเดินทางสู่วัดเขาใหญ่ สุพรรณบุรี ได้ทันตามกำหนดเวลา








ในวันนั้นแสงแดดค่อนข้างแรงทีเดียว แต่ผู้ร่วมงาน และ คณะกัลยาณมิตร กรุงเกษม (แปะก๊วยนมสด) ก็สู้...




25/6/56

ดนตรีนั้นสำคัญไฉน

ดนตรีนั้นสำคัญไฉน

เมื่อเอ่ยถึงดนตรี แทบจะไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก แต่ที่มาของดนตรีนี้เล่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
วิวัฒนาการของดนตรีได้เริ่มต้นจากเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อาทิเช่น เสียงฝนตก เสียงใบไม้ไหว เสียงคลื่น เสียงลมพัด เสียงร้องของแมลงหรือสัตว์ต่าง ๆ เสียงเหล่านี้จะมีลักษณะของเสียงที่เฉพาะเจาะจง มีความไพเราะที่แตกต่างกันและด้วยความซาบซึ้งในความไพเราะนี้เอง ที่ทำให้มนุษย์พยายามประดิษฐ์อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาผสมผสานกันให้เป็นจังหวะเป็นทำนอง และเพิ่มเนื้อหาสาระจนกลายมาเป็นดนตรีหลากหลายรูปแบบดังที่เราได้ยินได้ฟังกันในทุกวันนี้

การฟังดนตรีที่มีท่วงทำนองที่แตกต่างกัน จะทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย ดนตรีที่มีจังหวะท่วงทำนองเร็ว ทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน จังหวะช้าทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า และดนตรีที่มีเสียงสูงต่ำดังกังวาลจะทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ อย่างไรก็ตามคนทั่วไปมักเลือกฟังดนตรีแนวที่ตนชบมากกว่า บางคนชอบฟังดนตรีที่มีจังหวะเร็ว มันสะใจ จะเลือกฟังเพลงร็อค เพลงดิสโก้ บางคนเลือกฟังแร็พตามสมัยนิยมและบางคนชอบดนตรีเบาสบายก็เลือกฟังเพลงคลาสสิก
แต่ก็รู้กันหรือไม่ว่า ดนตรีที่เราฟังกันอยู่นี้มีผลอย่างไรต่อร่างกายของเรา ในบางขณะดนตรีบางประเภทอาจทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด หรือตึงเครียดมากขึ้น แต่ดนตรีอีกประเภทหนึ่งสามารถทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายความสับสนวุ่นวายลง ทำให้จิตใจแจ่มใสขึ้นได้ ดนตรีแต่ละประเภทที่ว่านี้แตกต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้สึกกับสภาวะของสมองในฐานะที่เป็นศูนย์ควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ของเรากันเสียก่อน

ในสภาวะปกติสมองจะรับข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกเป็นจำนวนมาก บางคนมีเรื่องสับสนวุ่นวายให้คิดมากมาย คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จึงมีความถี่สูง เรียกคลื่นสมองช่วงนี้ว่า "คลื่นเบต้า" (Beta Wave) รูปร่างของคลื่นเบต้ามีลักษณะคล้ายเส้นกราฟที่ขยุกขยิกขึ้น-ลง ขึ้น-ลง สลับกัน คล้าย ๆ เวลาเราลากเส้นสลับฟังปลานั่นเอง ถ้าสมองมีเรื่องต้องคิดวุ่นวายมาก เส้นกราฟจะขยุกขยิกมากด้วย ภาวะเช่นนี้จะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย ประสิทธิภาพในการคิดตัดสินใจไม่ดี
ส่วนสภาวะที่ทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จิตใจและสมองต้องอยู่ในสภาวะที่สงบ เยือกเย็น ทั้งนี้เพราะว่า คลื่นสมองในช่วงนี้หรือเรียกว่า "คลื่นอัลฟา" (Alpha Wave) จะมีความถี่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่า และมีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า รูปร่างของคลื่นอัลฟามีลักษณะคล้ายรูปลูกคลื่น ไม่ขยุกขยิกเหมือนคลื่นเบต้า คลื่นอัลฟานี้ช่วยทำให้ความสับสนวุ่นวายในสมองลดลง จิตใจจึงสงบและเยือกเย็นขึ้น ซึ่งพร้อมทีจะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภา

และตอนนี้ก็เข้าถึงเรื่องของดนตรีกับคลื่นสมองกันเสียที ดนตรีที่มีจังหวะเร็ว หรือดนตรีที่มีจังหวะไม่เป็นระเบียบ เช่น เพลงดิสโก้ จะทำให้คลื่นสมองมีความถี่สูงขึ้น โดยเฉพาะในคนที่กำลังมีความตึงเครียดอยู่แล้ว จะทำให้ยิ่งเครียดมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ยังพบว่า เด็ก ๆ ที่ฟังเพลงดิสโก้ขณะที่ดูหนังสือนั้นจะทำให้สมองปั่นป่วนและการเรียนไม่ได้ผล ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่ช่วยทำให้คลื่นสมองมีความถี่ช้าลง ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดและเรียกประสิทธิภาพในการทำงานกลับคืนมาก วิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือ การฟังเพลงประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เพลงบรรเลงเบา ๆ เช่น เพลงมานโตวานี (Mantovani) เพลงของพอล โมริอาต์ (Paul Mauriat) หรือเพลงของริชาร์ด เคลเอร์แมน (Richard Calyderman) เพลงคลาสิก เช่น ซิมโฟนี่หมายเลข ๕ ของบีโธเฟ่น (Beethoven's Symphony NO.5 in C.Minor) หรือเพลงของไซคอฟสกี้ (Tchaikosky) เป็นต้น นอกจากนี้เพลงที่มีเสียงธรรมชาติผสมผสานกับเครื่องดนตรีประเภทไวโอลิน พิณฝรั่ง คลาลิเนต หรืออื่น ๆ เช่น เพลงของคิทาโร่ (Kitaro)

มาถึงตอนนี้แล้วพอจะบอกกับตัวเองได้หรือยังว่า ควรฟังเพลงประเภทใดจึงจะก่อใหเกิดประโยชน์กับตัวเอ หากยังไม่แน่ใจลองอ่านต่อไปอีกสักนิดก็แล้วกัน มีข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ดนตรีที่มีคุณภาพทั้งเนื้อร้อง ทำนอง จังหวะ และความถี่ของเสียง จะช่วยกระตุ้นให้สมองของมนุษย์หลั่งสารแห่งความสุข หรือเอนโดฟิน (Endorphin) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีผลดีต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ดนตรีที่มีคุณภาพยังมีผลต่อการเพิ่มความสามารถในการจำ สร้างสรรค์ความคิดริเริ่ม หรือพูดง่าย ๆ ก็คื ช่วยพัฒนาสมองนั่นเอง

ดังนั้นการเลือกฟังเพลงหรือดนตรีจึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เราจะต้องพิถีพิถันกันมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าหากเราต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น


ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-7.html



เทคนิคการผ่อนคลาย

เทคนิคการผ่อนคลาย

เมื่อท่านเกิดความเครียดขึ้น ท่านมีวิธีผ่อนคลายความเครียดนั้นอย่างไรบ้าง ซึ่งวิธีการผ่อนคลายความเครียดจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีให้ท่านได้เลือกปฏิบัติกันไปตามความถนัดของแต่ละบุคคล ในที่นี้อยากจะขอแนะนำเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดอย่างง่าย ๆ ให้ท่านได้เลือกปฏิบัติกัน โดยเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดนี้ จะเป็นวิธีการเฉพาะที่จะทำให้ท่านเกิดการผ่อนคลายทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งวิธีการปฏิบัตินั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี แต่วิธีการปฏิบัติส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงเทคนิคสองอย่างคือ การควบคุมการหายใจ และการทำให้กล้ามเนื้อหายตึง การผ่อนคลายจะได้ผลดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะสามารถที่จะขจัดความกดดันต่าง ๆ ออกไปจากร่างกายและจิตใจได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าหลาย ๆ ท่านอาจจะบอกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องมานั่งฝึกการผ่อนคลายเลย เพราะการนอนหลับก็สามารถช่วยให้ท่านเกิดการผ่อนคลายได้เหมือนกัน แต่ในสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันนี้ การนอนหลับเพียงอย่างเดียวดูเหมือนจะไม่เป็นการเพียงพอ ควรจะมีการผ่อนคลายอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อที่จะช่วยให้ท่านผ่อนคลายได้ในขณะที่ท่านยังรู้สึกตัวอยู่

ความเครียดและความกดดันทางจิตใจต่าง ๆ มักจะมีมาร่วมกันกับการตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่ถูกกระตุ้นนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดความตึงและล้า ดังนั้นความตึงเครียดของร่างกายทั้งระบบจึงทำให้กล้ามเนื้อตึงแข็ง ล้าและปวดเมื่อย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณรอบหัวไหล่ คอ ศีรษะ อาการตึงเครียดที่เกิดขึ้นนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขให้หมดไปแล้ว อาการตึงเครียดนี้จะค่อย ๆ เพิ่มพูนมากขึ้นจนส่งผลประทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจของท่าน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของท่านด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันมิให้ท่านเกิดความตึงเครียดมากเกินไป ท่านควรศึกษาวิธีการผ่อนคลายความเครียดไว้บ้าง เพื่อที่ท่านจะได้ใช้เป็นวิธีคลายเครียดตอนเมื่อท่านเกิดความตึงเครียดขึ้นและเมื่อท่านเริ่มฝึกผ่อนคลายความเครียดแล้ว

วิธีการผ่อนคลายนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อท่าน ๒ ประการคือ
๑. เมื่อท่านเริ่มฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย ท่านจะรู้ว่าส่วนใดของร่างกายที่เครียดเกร็งหรือเจ็บง่าย จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ด้วยการระมัดระวังการยืน เดิน และการเคลื่อนไหวโดยทั่วไป รวมถึงการเลือกโต๊ะ เก้าอี้ เตียง เสื้อผ้า รองเท้าไว้ใช้ด้วย
๒. ท่านจะรู้สึกดีขึ้นทันทีที่เริ่มฝึกการผ่อนคลายใบหน้า คอ และไหล่เพียง ๕ นาที จะทำให้ท่านหายปวดศีรษะและรู้สึกสดชื่นขึ้น การผ่อนคลายอย่างลึก ๒๐ นาที จะช่วยทำให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนมากเท่า ๆ กับได้นอนหลับถึง ๒ ชั่วโมง
มาถึงตรงนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะเกิดความกังวลว่า วิธีการปฏิบัติยุ่งยากซับซ้อนหรือไม่ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ววิธีการฝึกผ่อนคลายส่วนใหญ่จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายและได้ผลเร็ว แต่ก็อาจจะมีเป็นบางวิธีค่อนข้างยากและปฏิบัติยากในช่วงแรก ซึ่งวิธีการผ่อนคลายที่จะกล่าวในต่อไปนี้ หลาย ๆ ท่านอาจจะบอกว่ามันมีวิธีปฏิบัติมากเกินไป ท่านจะไม่มีเวลาปฏิบัติให้ครบได้ทุกท่า ท่านอาจจะเลือกทำท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ เพราะวิธีที่จะเสนอต่อไปนี้ จะเป็นวิธีที่ช่วยท่านผ่อนคลายร่างกายบางส่วน ท่านสามารถเลือกทำกี่ท่าก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านเกิดความตึงเครียดตรงส่วนไหนของร่างกาย ก็ให้ท่านเลือกวิธีฝึกผ่อนคลายที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดตรงส่วนนั้น เช่น ท่านเกิดอาการเกร็งที่ศีรษะ คอ ก็ให้ท่านเลือกทำการบริหารเฉพาะส่วนที่มีอาการตึงเครียด

กล้ามเนื้อที่ควรฝึกมที ๑๐ กลุ่มคือ
๑. แขนขวา
๒. แขนซ้าย
๓. หน้าผาก
๔. ตา แก้ม และจมูก
๕. ขากรรไกร ริมฝีปาก และลิ้น
๖. คอ
๗. อก หลัง และไหล่
๘. หน้าท้อง และก้น
๙. ขาขวา
๑๐. ขาซ้าย

วิธีการฝึก
นั่งในท่าที่สบายที่สุด วางแขนขาอย่างสบาย ๆ ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงในเก้าอี้ และหลังตาลง
เกร็งกล้ามเนื้อไปทีละกลุ่ม ค้างไว้สัก ๑๐ วินาที แล้วจึงค่อย ๆ คลายออก จากนั้นเริ่มเกร็งใหม่สลับกันไปประมาณ ๑๐ ครั้ง ค่อย ๆ ทำไปจนกครบทั้ง ๑๐ กลุ่ม
เริ่มจากการกำมือ มุ่งความสนใจไปที่มือและแขนทั้งสองข้าง กำมือและเกร็งแขนให้แน่นจนรู้สึกเกร็งมากที่สุด เกร็งไว้ประมาณ ๑๐ นาที แล้วจึงค่อย ๆ คลายออก
บริเวณหน้าผาก คิ้ว ตา และจมูกให้เกร็งโดยการย่นหน้าผาก คิ้ว ตา และจมูกให้มากที่สุด ค้างไว้สักครูหนึ่ง แล้วค่อยคลายออก
ขากรรไกร คอ ริมฝีปาก และลิ้น ให้เหยียดริมฝีปากออกไปให้มากที่สุด พร้อมทั้งให้ท่านกดลิ้นที่เพดานปากให้แน่นที่สุด ท่านจะรู้สึกตึงเครียดบริเวณลำคอ ริมฝีปาก ขากรรไกร ลิ้น เกร็งไว้ ประมาณ ๑๐ วินาที แล้วจึงค่อยผ่อนคลาย
อกหลังและไหล่ ให้ท่านหายใจเข้าลึก ๆ และกลั้นหายใจไว้สักครู่หนึ่ง ท่านจะรู้สึกตึงเครียดบริเวณหน้าอก
หน้าท้องและก้น ให้ท่านแขม้วท้อง โดยทำท้องให้แฟบมากที่สุด เกร็งไว้สักครู่แล้วจึงค่อยผ่อนคลาย คราวนี้ให้ท้องพองออกมากที่สุด เกร็งไว้สักครูแล้วค่อยผ่อนคลาย ส่วนบริเวณก้นให้ท่านใช้วิธีขมิบก้นแล้วคลาย
เท้าทั้งสองข้าง ให้ท่านกดปลายเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นให้มากที่สุด ท่านจะรู้สึกตึงเครียดบริเวณกล้ามเนื้อน่อง เกร็งไว้สักครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยผ่อนคลาย
หลังจากที่ท่านทำครบทั้ง ๑๐ ขั้นตอนแล้ว ให้ท่านลองสำรวจดูกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของท่านอีกครั้ง ท่านจะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้มากยิ่งขึ้น และท่านจะรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างความตึงเครียดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี การฝึกผ่อนคลายนี้จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อท่านได้ฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอ


ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-6.html


การคลายเครียดจากใจสู่กาย

การคลายเครียดจากใจสู่กาย

หลักการ
ตามหลักวิชาการด้านสุขภาพจิต ถือกันว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว" จิตมีอำนาจที่จะสั่งร่างกายได้
การคลายเครียดจากใจสู่กาย จึงเป็นเทคนิคที่ผู้ฝึกสามารถผ่อนคลายได้โดยการใช้ใจสั่งหรือบอกกับตัวเองด้วยคำพูดง่าย ๆ แต่ละได้ผลถึงการผ่อนคลายในระดับจิตใต้สำนึก
คำสั่งที่ใช้ จะเน้นให้อวัยวะต่าง ๆ รู้สึกหนักและอบอุ่น เนื่องจากในภาวะเครียด กล้ามเนื้อจะเกร็งตัว และอุณหภูมิจะลดต่ำลง
การบอกกับตัวเองให้กล้ามเนื้อคลายตัวจนรู้สึกหนัก และทำให้ร่างกายรู้สึกอุ่นขึ้น จึงเป็นการช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี

วิธีการฝึก
ก่อนการฝึกเทคนิคนี้ ผู้ฝึกควรฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี และฝึกการจินตนาการให้ชำนาญเสียก่อน จึงจะฝึกวิธีนี้อย่างได้ผล

การปฏิบัติขณะฝึก
นั่งในท่าที่สบาย หลับตา
หายใจเข้า หายใจออกช้า ๆ ใช้กล้ามเนื้อกระบังลมช่วยในการหายใจ เวลาหายใจเข้า จะรู้สึกว่าท้องพองออก ส่วนเวลาหายใจออกจะรู้สึกว่าท้องแฟบ
หายใจไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกผ่อนคลาย
จากนั้นใหัจินตนาการถึงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยบอกอวัยวะนั้น ซ้ำ ๆ กัน ๓ ครั้ง ตามลำดับดังนี้
๑. แขนขวาของฉันหนัก ... ๆ ... ๆ
๒. แขนซ้ายของฉันหนัก ... ๆ ... ๆ
๓. ขาขวาของฉันหนัก ... ๆ ... ๆ
๔. ขาซ้ายของฉันหนัก ... ๆ ... ๆ
๕. คอและไหล่ของฉันหนัก ... ๆ ... ๆ
๖. แขนขวาของฉันอุ่น ... ๆ ... ๆ
๗. แขนซ้ายของฉันอุ่น ... ๆ ... ๆ
๘. ขาขวาของฉันอุ่น ... ๆ ... ๆ
๙. ขาซ้ายของฉันอุ่น ... ๆ ... ๆ
๑๐. คอและไหล่ของฉันอุ่น ... ๆ ... ๆ
๑๑. หัวใจของฉันเต้นอย่างสงบและสม่ำเสมอ ... ๆ ... ๆ
๑๒. ฉันหายใจได้อย่างสงบและสม่ำเสมอ ... ๆ ... ๆ
๑๓. ท้องของฉันอุ่นและสงบ ... ๆ ... ๆ
๑๔. หน้าผากของฉันสบายและสงบ ... ๆ ... ๆ
เมื่อทำครบแล้ว ให้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ขยับแขนขาให้สบาย และคงความรู้สึกสดชื่นไว้ พร้อมที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไป

ผลดีจากการฝึก
เทคนิคนี้ใช้ได้ผลดีกับการรักษาอาการหรือความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย อันเนื่องมาจากความเครียด ได้แก่
ระบบทางเดินหายใจ เช่น การหายใจถี่ เร็ว และอาการหอบหืด
ระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องผูก ท้องเดิน
ระบบการไหลเวียนของเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน)
นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการวิตกกังวล หงุดหงิด เหนื่อยล้า ฯลฯ ที่เกิดจากความเครียดได้ด้วย

การนวดคลายเครียด
หลักการ
ความเครียดเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ปวดต้นคอ ปวดหลัง เป็นต้น
การนวดจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง สบายตัว หายเครียด และลดอาการเจ็บปวดต่าง ๆ ลง
การนวดที่จะนำเสนอในที่นี้ เป็นการนวดไทย ซึ่งสามารถนวดได้ด้วยตนเอง และเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ บ่า และไหล่ อันมีสาเหตุมาจากความเครียด

ข้อควรระวัง
๑. ไม่ควรนวดขณะที่กำลังเป็นไข้ หรือกล้ามเนื้อบริเวณนั้นอักเสบ หรือเป็นโรคผิวหนัง ฯลฯ
๒. ควรตัดเล็บให้สั้นก่อนนวดทุกครั้ง

หลักการนวดที่ถูกวิธี
๑. การกด ให้ใช้ปลายนิ้วที่ถนัด ได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ หรือนิ้วกลาง
๒. ในที่นี้การนวดจะใช้การกด และการปล่อยเป็นส่วนใหญ่ โดยใช้เวลากดแต่ละครั้งประมาณ ๑๐ วินาที และใช้เวลาปล่อยนานกว่าเวลากด
๓. การกดให้ค่อย ๆ เพิ่มแรงทีละน้อย และเวลาปล่อยให้ค่อย ๆ ปล่อย
๔. แต่ละจุด ควรนวดซ้ำประมาณ ๓ - ๕ ครั้ง

จุดที่นวดมีดังนี้
๑. จุดกลางระหว่างคิ้ว ใช้ปลายนิ้วชี้ หรือนิ้วกลางกด ๓ - ๕ ครั้ง



๒. จุดใต้หัวคิ้ว ใช้ปลายนิ้วชี้ หรือนิ้วกลางกด ๓ - ๕ ครั้ง



๓. จุดขอบกระดูกท้ายทอย จุดกลาง ใช้นิ้วหัวแม่มือกด ๓ - ๕ ครั้ง จุดสองจุดด้านข้าง ใช้วิธีประสานมือบริเวณท้ายทอย แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดจุดสองจุดพร้อม ๆ กัน ๓ - ๕ ครั้ง



๔. บริเวณต้นคอ ประสานมือบริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดตามแนวสองข้างของกระดูกต้นคอ โดยกดไล่จากตีนผมลงมาถึงบริเวณบ่า ๓ - ๕ ครั้ง



๕. บริเวณบ่า ใช้ปลายนิ้วมือขวาบีบไหล่ซ้ายไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ใช้ปลายนิ้วมือซ้ายบีบไหล่ขวาไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ทำซ้ำ ๓ - ๕ ครั้ง



๖. บริเวณบ่าด้านหน้า ใช้นิ้วหัวแม่มือขวากดจุดใต้กระดูกไหปลาร้า จุดต้นแขน และจุดเหนือรักแร้ของบ่าซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มืซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ ๓ - ๕ ครั้ง



๗. บริเวณบ่าด้านหลัง ใช้นิ้วที่ถนัดของมือขวาอ้อนไปกดจุดบนและจุดกลางของกระดูกสะบัก และจุดรักแร้ด้านหลังของบ่าซ้าย ใช้นิ้วที่ถนัดของมือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ ๓ - ๕ ครั้ง




ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-5.html



การทำสมาธิ

การทำสมาธิ

หลักการ
การทำสมาธิถือเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด เพราะจิตใจจะสงบ และปลอดจากความคิดที่ซ้ำซาก ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล เศร้า โกรธ ฯลฯ
หลักของการทำสมาธิ คือการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งในที่นี้จะใช้การนับลมหายใจเป็นหลัก และยุติการคิดเรื่องอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
หากฝึกสมาธิเป็นประจำ จะทำให้จิตใจเบิกบาน อารมณ์เย็น สมองแจ่มใส หายเครียดจนตัวเองและคนใกล้ชิดรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีนี้ได้อย่างชัดเจน

วิธีการฝึก
ขั้นที่ ๑
นั่งในท่าที่สบาย จะเป็นการนั่งขัดสมาธิ นั่งพักเพียบ หรือนอนก็ได้ในกรณีที่เป็นผู้ป่วย
หลับตา หายใจเข้า หายใจออกช้า ๆ
เริ่มนับลมหายใจเข้าออกดังนี้
หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑
หายใจเข้านับ ๒ หายใจออกนับ ๑
นับไปเรื่อย ๆ จนถึง ๕ แล้วเริ่มนับ ๑ ใหม่
นับจนถึง ๖ แล้วเริ่ม ๑ ใหม่
นับจนถึง ๗ แล้วเริ่ม ๑ ใหม่
นับจนถึง ๘ แล้วเริ่ม ๑ ใหม่
นับจนถึง ๙ แล้วเริ่ม ๑ ใหม่
นับจนถึง ๑๐
ครบ ๑๐ ถือเป็น ๑ รอบ
แล้วเริ่ม ๑ - ๕ ใหม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙ ๑๐,๑๐
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕
ฯลฯ
ในการฝึกครั้งแรก ๆ อาจยังไม่มีสมาธิพอ ทำให้นับเลขผิดพลาด หรือบางทีอาจมีความคิดอื่นแทรกเข้ามาทำให้ลืมนับเป็นบางช่วง ถือเป็นเรื่องปกติ
ต่อไปให้พยายามตั้งสติใหม่ เมื่อมีความคิดอื่นแทรกเข้ามา ก็ให้รีบรู้ แล้วปล่อยให้ผ่านไป ไม่เก็บมาคิดต่อ
ในที่สุด ก็จะสามารถนับเลขได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ผิดพลาด เพราะมีสมาธิดีขึ้น

ขั้นที่ ๒
เมื่อจิตใจสงบมากขึ้น ให้เริ่มนับเลขแบบเร็วขึ้นไปอีกคือ
หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒
หายใจเข้านับ ๓ หายใจออกนับ ๔
หายใจเข้านับ ๕
หายใจออกนับ ๑ ใหม่ จนถึง ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ ตามลำดับดังนี้
๑ ๒ ๓ ๔ ๕
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐
๑ ๒ ๓ ๔ ๕
ฯลฯ

ขั้นที่ ๓
เมื่อนับลมหายใจได้เร็วและไม่ผิดพลาด แสดงว่าจิตใจสงบมากแล้ว

ขั้นที่ ๒
คราวนี้ให้ใช้สติรับรู้ลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องนับเลขอีก และไม่คิดเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความสงบเท่านั้น

ข้อแนะนำ
ควรฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ดี ไม่มีฝันร้ายด้วย

การจินตนาการ
หลักการ
การใช้จินตนาการ เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่จะเบี่ยงเบนความสนใจจากสถานการณ์อันเคร่งเครียดในปัจจุบัน ไปสู่ประสบการณ์เดิมในอดีตที่เคยทำให้จิตใจสงบและเป็นสุขมาก่อน
การย้อนระลึกถึงประสบการณ์ที่สงบสุขในอดีต จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายละวางจากความเครียดได้ระยะหนึ่ง
การใช้จินตนาการเป็นวิธีการคลายเครียดได้ชั่วคราว ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่สาเหตุ จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้บ่อย ๆ
ในขณะจินตนาการ ต้องพยายามให้เหมือนจริงที่สุดคล้ายจะสัมผัสได้ครบทั้งภาพ รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เพื่อจะได้เกิดอารมณ์คล้อยตามจนรู้สึกสุขสงบได้เหมือนอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ

วิธีการฝึก
เลือกสถานที่ที่สงบ เป็นส่วนตัว ปลอดจากการรบกวนของผู้อื่น นั่งในท่าที่สบาย ถ้าได้เก้าอี้ที่มีพนักพิงศีรษะด้วยจะเป็นการดีมาก หลับตาลง เริ่มจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่สงบสุขในอดีต
เช่น
การนั่งดูพระอาทิตย์ตก
การดำน้ำชมธรรมชาติ
การเดินชมสวนดอกไม้
การนั่งตกปลาริมตลิ่ง
เมื่อจินตนาการาจนจิตใจสงบ และเพลิดเพลินแล้ว ให้บอกสิ่งดี ๆ กับตัวเองว่า
ฉันเป็นคนดี
ฉันเป็นคนเก่ง
ฉันไม่หวั่นกลัวต่ออุปสรรคใด ๆ
ฉันสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอน
นับ ๑...๒...๓... แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นคงความรู้สึกสงบเอาไว้ พร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคในชีวิตต่อไป

ตัวอย่างเรื่องที่จินตนาการ
ฉันกำลังเดินเล่นริมชายหาด ผืนทรายแสนจะอ่อนนุ่ม และอบอุ่น ได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาและเสียงนกร้องเป็นระยะ ๆ
ฉันค่อย ๆ ลุยลงไปในทะเล น้ำทะเลเย็นฉ่ำชื่นใจและใสราวกระจก มองเห็นเปลือกหอย ปลาดาว และฝูงปลาตัวเล็ก ๆ สีเงิน ว่ายวนเวียนไปมา
ฉันเริ่มแหวกว่ายน้ำทะเล รู้สึกตัวเบาหวิว เป็นอิสระจากความเครียดทั้งปวง
บรรยากาศช่างสงบ เป็นธรรมชาติ และช่วยให้ฉันผ่อนคลายได้มากเหลือเกิน
ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ฉันจะไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งใด ฉันต้องเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน


ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-4.html


เทคนิคในการคลายเครียด

เทคนิคในการคลายเครียด

เทคนิคในการคลายเครียดที่จะนำเสนอในที่นี้มี ๖ วิธีคือ
๑. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
๒. การฝึกกายหายใจ
๓. การทำสมาธิ
๔. การจินตนาการ
๕. การคลายเครียดจากใจสู่กาย
๖. การนวดคลายเครียด

แต่ละวิธีมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป คุณไม่จำเป็นต้องฝึกทั้ง ๖ วิธีก็ได้ เพียงเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งที่คุณชอบ สะดวก ทำแล้วคลายเครียดได้ดีเท่านั้นก็พอ
เมื่อฝึกการคลายเครียดไปสักระยะหนึ่ง คุณจะรู้สึกได้ว่าตัวคุณมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่น ใจเย็นลง สบายใจขึ้น สุขภาพดีขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้น การเรียนหรือการทำงานดีขึ้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น ฯลฯ

การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
หลักการ
ความเครียดมีผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัว สังเกตได้จากอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ฯลฯ
การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ เป็นต้น
การฝึกการคลายกล้ามเนื้อจะช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง
ในขณะฝึก จิตใจจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่าน และวิตกกังวล จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

วิธีการฝึก
เลือกสถานที่ที่สงบ ปราศจากเสียงรบกวน นั่งในทางที่สบาย คลายเสื้อผ้าให้หลวม ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งสมาธิอยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ

ฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ ๑๐ กลุ่มดังนี้
๑. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
๒. มือและแขนซ้าย โดยทำเช่นเดียวกัน
๓. หน้าผาก โดยเลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
๔. ตา แก้ม จมูก โดยหลับตาแน่น ย่นจมูกแล้วคลาย
๕. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปาก แล้วคลาย เม้นปากแน่น แล้วคล้าย
๖. คอ โดยก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
๗. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นไว้แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
๘. หน้าท้อง และก้น โดยแขม่วท้องแล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
๙. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งดนิ้วเท้าแล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
๑๐. เท้าและขาซ้าย โดยทำเช่นเดียวกัน

ข้อแนะนำ
๑. ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง ๓ - ๕ วินาที ผ่อนคลาย ๑๐ - ๑๕ วินาที เป็นต้น
๒. เวลากำมือ ระวังอย่าให้เล็บจิกเนื้อตัวเอง
๓. ควรฝึกประมาณ ๘ - ๑๒ ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
๔. เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน
๕. อาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาเท่านั้นก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า ต้นคอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัว จะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลง และสะดวกมากขึ้น

การฝึกการหายใจ
หลักการ
ตามปกติคนทั่วไปจะหายใจตื้น ๆ โดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอกเป็นหลัก ทำให้ได้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อยกว่าทีควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเครียด คนเราจะยิ่งหายใจถี่และตื้นมากกว่าเดิม ทำให้เกิดอาการถอนหายใจเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากขึ้น
การฝึกหายใจช้า ๆ ลึก ๆ โดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณท้องจะช่วยให้ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือก และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อหน้าท้องและลำไส้ด้วย การฝึกหายใจอย่างถูกวิธี จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส เพราะได้ออกซิเจนมากขึ้น และการหายใจออกอย่างช้า ๆ จะทำให้รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียดออกไปจากตัวจนหมดสิ้น

วิธีการฝึก
นั่งในท่าที่สบาย หลับตา เอามือประสานไว้บริเวณท้อง ค่อย ๆ หายใจเข้า พร้อม ๆ กับนับเลข ๑ ถึง ๔ เป็นจังหวะช้า ๆ ๑...๒...๓...๔... ให้มือรู้สึกว่าท้องพองออก
กลั้นหายใจเอาไว้ชั่วครู นับ ๑ ถึง ๔ เป็นจังหวะช้า ๆ เช่นเดียวกับเมื่อหายใจเข้า
ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก โดยนับ ๑ ถึง ๘ อย่างช้า ๆ ๑...๒...๓...๔...๕...๖...๗...๘... พยายามไล่ลมหายใจออกมาให้หมด สังเกตว่าหน้าท้องแฟบลง
ทำซ้ำอีก โดยหายใจเข้าช้า ๆ กลั้นไว้ แล้วหายใจออก โดยช่วงที่หายใจออกให้นานกว่าช่วงหายใจเข้า

ข้อแนะนำ
การฝึกการหายใจ ควรทำติดต่อกันประมาณ ๔ - ๕ ครั้ง
ควรฝึกทุกครั้งที่รู้สึกเครียด รู้สึกโกรธ รู้สึกไม่สบายใจ หรือฝึกทุกครั้งที่นึกได้
ทุกครั้งที่หายใจออก ให้รู้สึกได้ว่าผลักดันความเครียดออกมาด้วยจนหมด เหลือไว้แต่ความรู้สึกโล่งสบายเท่านั้น
ในแต่ละวัน ควรฝึกการหายใจที่ถูกวิธีให้ได้ประมาณ ๔๐ ครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องทำติดต่อในคราวเดียวกัน

ผลดีจากการฝึกคลายเครียด
ขณะฝึก
อัตราการเผาเลาญอาหารในร่างกายลดลง
อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง
อัตราการหายใจลดลง
ความดันโลหิตลดลง
ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อลดลง
หลังการฝึก
ใจเย็นขึ้น
ความวิตกกังวลลดลง สบายใจมากขึ้น
สมาธิดีขึ้น
ความจำดีขึ้น
ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น
สมองแจ่มใส คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิม


ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-3.html


แก้ปัญหาได้ก็หายเครียด

แก้ปัญหาได้ก็หายเครียด

ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด
ในช่วยที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จะรู้สึกเครียดมาก
เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียดก็จะหมดไป
เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
จงละเว้นการแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ ต่อไปนี้
อย่า! แก้ปัญหาแบบวู่วาม ใช้อารมณ์เป็นใหญ่
เมื่อเจอปัญหา ให้พยายามสงบสติอารมณ์ อย่าเพิ่งเอะอะโวยวาย ให้หายใจช้า ๆ ลึก ๆ สัก 4 - 5 ครั้ง หรือนับ 1 - 10 ก่อนจะตอบโต้อะไรออกไป จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
อย่า! หนีปัญหา แล้วหันเข้าหาบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ เพื่อช่วยให้สบายใจขึ้นชั่วคราว
จงกล้าเผชิญกับปัญหา และอย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบแก้ปัญหาเสียแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้ค้างคาอยู่เป็นเวลานาน เพราะความเครียดจะสะสมมากขึ้นด้วย
อย่า! คิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นอยู่ร่ำไป
จงถือคติ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" หัดใช้ความสามารถของตัวเองบ้าง แล้วจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ถ้าปัญหานั้นเหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ และลองใช้ความสามารถของตัวเองแล้วก็ยังไม่ได้ผล การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่พึงทำได้
อย่า! เอาแต่ลงโทษตัวเอง
คนเราทำผิดกันได้ ถ้าพลาดไปแล้ว จงให้โอกาสตัวเองที่จะแก้ไข และอย่าได้ทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำอีก การเฝ้าคิดลงโทษตัวเองไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความทุกข์ใจเท่านั้น
อย่า! โยนความผิดให้คนอื่น
จงรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำร่วมกัน การปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบโดยโยนความผิดให้คนอื่น ไม่ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะก่อความแตกแยกให้มากขึ้นเท่านั้นเอง


จงแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลและใช้ความคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน โดย
คิดหาสาเหตุของปัญหาด้วยใจเป็นธรรม ไม่เข้าข้างตนเอง ไม่โทษคนอื่น
คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลาย ๆ วิธี ถ้าคิดเองไม่ออก อาจปรึกษาผู้ใกล้ชิด หรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า
ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีที่คิดไว้ อาจต้องใช้ความกล้าหาญ อดทน หรือต้องใช้เวลาบ้าง อย่าได้ท้อถอยไปเสียก่อน
ประเมินผลดูว่าวิธีที่ใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ จนกว่าจะได้ผล
เมื่อแก้ปัญหาได้ ก็จะหายเครียด และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด


ความคิด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความเครียด หากรู้จักคิดให้เป็น ก็จะช่วยให้ลดความเครียดไปได้มาก


วิธีคิดที่เหมาะสม
๑. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น
อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จงละวาง ผ่อนหนักผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ รู้จักให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
๒. คิดอย่างมีเหตุผล
อย่าด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ แล้วเก็บเอามาคิดวิตกกังวล ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน นอกจากจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกได้ง่าย ๆ แล้ว ยังตัดความกังวลลงได้ด้วย
๓. คิดหลาย ๆ แง่มุม
ลอดคิดหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าคนหรือไม่ว่าเหตุการณือะไรก็ตาม ย่อมมีทั้งส่วนดีและไม่ดีประกอบกันทั้งนั้น อย่ามองเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ นอกจากนี้ควรหัดคิดในมุมของคนอื่นบ้าง เช่น สามีจะคิดอย่างไร ลูกจะรู้สึกอย่างไร เจ้านายจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เป็นต้น จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
๔. คิดแต่เรื่องดี ๆ
ถ้าคอยคิดถึงแต่เรื่องร้าย ๆ หรือความล้มเหลว ผิดหวัง หรือไม่เป็นเป็นสุขทั้งหลาย ก็จะยิ่งเครียดกันไปใหญ่ ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มากขึ้น เช่น คิดถึงประสบการณ์ที่เป็นสุขในอดีต ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา คำชมเชยที่ได้รับ ความดีของคู่สมรส ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ จะช่วยให้สบายใจมากขึ้น
๕. คิดถึงคนอื่นบ้าง
อย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิดและใส่ใจที่จะช่วยเหลือ สนใจปัญหาของผู้คนในสังคมบ้าง บางทีคุณอาจจะพบว่าปัญหาที่คุณกำลังเครียดอยู่นี้ช่างเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับปัญหาของคนอื่น ๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นได้ คุณจะสุขใจขึ้นเป็นทวีคูณด้วย

การผ่อนคลายความเครียดแบบทั่ว ๆ ไป


เมื่อรู้สึกเครียด คนเราจะมีวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะเลือกวิธีที่ตนเองเคยชิน ถนัด ชอบ หรือสนใจ ทำแล้วเพลิดเพลิน มีความสุข ซึ่งวิธีคลายเครียดโดยทั่ว ๆ ไป มีดังนี้ คือ

นอนหลับพักผ่อน
ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย เต้นแอโรบิค รำมวยจีน โยคะ ฯลฯ
ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี
เล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ
ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์
เต้นรำ ลีลาศ
ทำงานศิลปะ งานฝีมือ งานประดิษฐ์ต่าง ๆ
ปลูกต้นไม้ ทำสวน
เล่นกับสัตว์เลี้ยง
จัดห้อง ตกแต่งบ้าน
อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนบทกลอน
สะสมแสตมป์ สะสมเครื่องประดับ
ถ่ายรูป จัดอัลบั้ม
เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ท่องอินเตอร์เน็ต
พูดคุย พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
ไปเสริมสวย ทำผม ทำเล็บ
ไปซื้อของ
ไปท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ
ฯลฯ

สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อเกิดความเครียด อย่าได้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ใช้สารเสพติด เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน กินจุบกินจิบ ฯลฯ เพราะนอกจากจะทำให้เสียสุขภาพและเสียเงินเสียทองแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมาก เช่น เมาแล้วขับรถทำให้เกิดอุบัติเหตุ เสียพนันแล้วทำให้เกิดหนี้สิน เกิดความขัดแย้งในครอบครัว หรือใช้สารเสพติดแล้วนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น ซึ่งจะมีแต่ทำให้เครียดกว่าเดิมอีกหลายร้อยเท่าทีเดียว


ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/-2.html


วิธีคลายเครียด

วิธีคลายเครียด

ความเครียดคืออะไร?

   ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดการตื่นตัว เตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินกำลังทรัพยากรที่เรามีอยู่ หรือเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์ และพลอยทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรมตามไปด้วย

ความเครียดนั้นเป็นเรื่องที่มีกันทุกคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรง เราก็จะรู้สึกเครียดน้อยหรือแม้เราจะรู้สึกว่าปัญหานั้นร้ายแรง แต่เราพอจะรับมือไหว เราก็จะไม่เครียดมาก แต่ถ้าเรามองว่าปัญหานั้นใหญ่ แก้ไม่ไหว และไม่มีใครช่วยเราได้ เราก็จะเครียดมาก

ความเครียดใน ระดับพอดี จะช่วยกระตุ้นให้เรามีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสู้ชีวิต ช่วยผลักดันให้เราเอาชนะปัญหาและอุปสรรค์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

แต่เมื่อใดที่ความเครียดมาเกินไป จนเราควบคุมไม่ได้ เมื่อนั้นที่เราจะต้องมาผ่อนคลายความเครียดกัน ความเครียดเกิดจากอะไร

ความเครียดเกิดจากสาเหตุสำคัญ ๒ ประการคือ

๑. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัยหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาสุขภาพ ปัญหามลพิษ ปัญหารถติด ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาฝนแล้ง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนเราเกิดความเครียดขึ้นมาได้

๒. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล เราจะสังเกตได้ว่า คนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจังกับชีวิต และใจร้อน นอกจากนี้คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคนคอยให้การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาเช่น มีคู่สมรส มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีเพื่อนสนิทที่รักใคร่ และไว้วางใจกันได้ ก็จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง

ความเครียด มักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงใดสาเหตุเดียว แต่มักจะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกัน คือมีปัญหาเป็นตัวกระตุ้น และมีการคิด การประเมินสถานการณ์ เป็นตัวบ่งบอกว่าจะเครียดมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง การจัดการกับความเครียด

แนวทางในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้

๑. หมั่นสังเกตควาผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ทั้งนี้อาจใช้แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเองก็ได้

๒. เมื่อรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว

๓. เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก

๔. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย

๕. ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด การสำรวจความเครียดของตนเอง

ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจและพฤติกรรมดังนี้

ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ไมเกรน ท้องเสียหรือท้องผูก นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า ใจสั่น ถอนหายใจบ่อย ๆ ผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นหวัดบ่อย ๆ แพ้อากาศง่าย ฯลฯ

ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น

ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย ๆ ดึงผม กัดเล็บ กัดฟัน ผุดลุกผุดนั่ง เงียบขรึม เก็บตัว เป็นต้น

ทั้งนี้ อาจสำรวจความเครียดของคุณได้โดยการใช้แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง

...........

ข้อมูลจาก : www.dhammajak.net/dhammabox-2/19.html


24/6/56

รวมร้านอาหารมังสวิรัต ร้านอาหารเจ รายชื่อ และ เบอร์โทรศัพท์ ใน กทม.

ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย - จตุจักร (ร้านพลตรีจำลอง มังสวิรัติ จตุจักร)
ขอแนะนำร้านอาหารและร้านค้าสุขภาพราคาประหยัด แถวสวนจตุจักร ของ ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาจตุจักร (The Vegetarian Society of Thailand) ภายในบริเวณจะแบ่งเป็น 2 โซน คือ

  • โซนร้านค้าขายอาหารราคาประหยัด และผักสด 
  • โซนร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยนานาชนิด รวมถึง ข้าวกล้องไร้สารพิษ, ชุด detox, ขนมขบเคี้ยวที่ผลิตจากธัญพืช และไอศครีมสีธรรมชาติสดใส รสอัญชัญ แครอท เสาวรส ฟักทอง เผือก และอื่นๆ อีกมากมายให้ท่านได้ลิ้มลอง 

ในส่วนของร้านค้าอาหาร ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมด จะหลากหลายทั้งอาหารคาวและขนมหวานมากมายเรียงรายเป็นทางยาว เริ่มด้วยการแลกซื้อคูปองแถวหน้าร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพของชมรมฯ จากนั้นทางขวามือร้านแรกจะเป็น ร้านขายซาลาเปาสูตรโบราณ แป้งโฮลวีทที่ไม่ใ่ส่ SP และสารเคมีอื่นนอกจากยีสต์จากแป้ง มีทั้งซาลาเปาไส้เม็ดบัว แปะก๊วย เผือก และหมั่นโถวงาดำ หมั่นโถวฟักทองถั่วดำ รวมถึงสาคูเจไส้ถั่ว งา

เดินเลยมาอีกนิดก็จะเป็นร้านขายข้าวแกง น้ำเต้าหู้ แฮมเบอเกอร์ โจ๊ก และที่พลาดไม่ได้สำหรับท่านที่ชอบอาหารรสจัด คือ ร้านขายยำเห็ด ลาบ น้ำตก ที่มาพร้อมกับผักสด และยังมีร้านขายน้ำผลไม้ ที่มีให้เลือกทั้ง น้ำกระเจี๊ยบ น้ำเสาวรสล้างพิษ น้ำเก๊กฮวย น้ำมะตูม ฯลฯ

(ร้านพลตรีจำลอง มังสวิรัติ จตุจักร)

เดินมาถึงช่วงกลางของร้านค้าอาหาร จะมีร้านขายขนมจีน เปาะเปี๊ยะสด เต้าหู้นึ่ง บ๊ะจ่าง ขอแนะนำให้ลองแวะร้านขายธัญพืชรวม จะมีข้าวมธุปายาส ซุปงาดำ น้ำ RC และธัญพืชรวมไว้บริการ มาถึงช่วงด้านในสุดของร้านค้าอาหารจะมีร้านขายข้าวขาหมู (ข้าวกล้อง) ก๊วยจั๊บ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวซอย ทอดมันหัวปลี สาคูไส้ถั่ว ราดหน้าเป็ด บะหมี่เป็ด ซุปเยื่อไผ่ ผัดซีิอิ๊ว ร้านสุดท้ายจะเป็นร้านขายกุยช่าย ขนมหัวผักกาด ขนมจีบ และหอยทอดโดยใช้เห็ดแทน ติดกันเป็นร้ายขายขนมน้ำแข็งใส มี น้ำรากบัว น้ำลูกสำรอง แปะก๊วย เฉาก๊วย ที่รสไม่หวานจัด นอกจากนี้ ยังมีรายการอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ได้ระบุไว้ในที่นี้ให้ท่านได้เลือกสรร เมื่อได้แวะเวียนมาด้วยตนเอง

เมื่อเลือกอาหารเรียบร้อยแล้ว ทางร้านมีโต๊ะเก้าอี้สะอาดไว้บริการ พร้อมช้อน ส้อม ที่ผ่านการแช่น้ำร้อนในถาดสแตนเลสที่ตั้งไว้บนเตาไฟฟ้า หลังจากมีอุปกรณ์พร้อมมือแล้ว ก็เริ่มอิ่มอร่อยพร้อมสุขภาพที่ดีกันได้เลย ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ที่นี่จะมีธรรมเนียมต่างจากที่อื่นเล็กน้อย คือ ผู้รับประทานจะต้องช่วยเก็บจานไปไว้ในที่ๆ ทางร้านค้าจัดไว้ให้ โดยจะมีถังแยกจาน ช้อน ส้อม เศษอาหาร และถังขยะเตรียมไว้ให้ บนโต๊ะอาหารจะมีผ้าเล็กๆ ไว้ให้ 1 ผืน สำหรับเช็ดโต๊ะก่อนลุกจากไป เพื่อจะได้มีโต๊ะสะอาดไว้ให้ผู้มารับบริการคนต่อไป เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ คือ ราคาอาหาร ซึ่งจะมีราคาตั้งแต่ 5 - 20 บาท โดยส่วนใหญ่ราคาอาหารจะอยู่ที่จานละ 15 บาท เช่น ข้าวขาหมู บ๊ะจ่าง ข้าวแกง (2 อย่าง) ยำเห็ด ลาบ น้ำตก ฯลฯ ส่วนขนมหวาน แปะก๊วย ถ้วยละ 10 บาท นอกจากราคาจะย่อมเยา์ว์แล้ว อาหารแต่ละจานยังดีต่อสุขภาพที่จะรับประทานด้วย

รายละเอียดเกี่ยวกับชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย - จตุจักร (ร้านพลตรีจำลอง มังสวิรัติ จตุจักร)

 ที่ตั้ง : 580-592 ถนนย่านพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร 
 เปิดวันอังคาร - ศุกร์ เวลา 6.00-14.00 น.
และวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 6.00 - 15.00 น. (ปิดวันจันทร์) 
 การเดินทาง :

รถยนต์ส่วนตัว ซอยทางเข้าร้านจะอยู่ตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ปากซอยจะมี Pub ชื่อ ตีสนิท(ปัจจุบันปิดแล้ว) ให้เลี้ยวซ้าย แล้วตามป้ายมังสวิัรัิติเข้าไปด้านใน ก็จะเจอตึกแถวยาวๆ ร้านค้าอาหารและร้านขายของสุขภาพ จะอยู่ด้านหลังของตึกแถวนี้

รถไฟฟ้าใต้ดิน ให้ลงที่สถานีกำแพงเพชร แล้วออกทางออกหมายเลข 1 (ถนนกำแพงเพชร 2) เมื่อขึ้นมาแล้วให้เลี้ยวขวาเดินลงไปตามถนนกำแพงเพชร จนเจอ Pub ตีสนิทที่ตั้งอยู่ปากซอย ให้เลี้ยวขวาแล้วเดินเข้าไปประมาณ 100 เมตร จะเห็นตึกแถวยาวๆ ที่ตั้งของชมรมฯ จะอยู่ด้านหลังตึกแถวนี้
รถประจำทาง ขึ้นรถประจำทางสาย ปอ. 138, สาย 96 และ 136

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2272-4282 , 0-2618-7002
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : ป้าแว่น - Yourhealthyguide




รวมร้านอาหารมังสวิรัต ร้านอาหารเจ รายชื่อ และ เบอร์โทรศัพท์ ใน กทม.


พหลโยธิน            
    บ้านสวนไผ่สุขภาพ (พลตรีจำลอง)
    304 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท 0-2615-2454 , 0-2615-1583
   
จตุจักร            
    ชมรมมังสวิรัติ จตุจักร   
    581/590 ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร    0-2272-4282 , 0-1913-4581
   
บางรัก            
    เจเทียนซิน 1   
    176 ซอยศรีเวียง ถนนเจริญกรุง    0-2234-8183 (เยื้องทางเข้าโรงแรมแชงกรี-ล่า)
   
    เจ้กุล   
    แผงอาหารกลางซอยเจริญเวียง (ตรงข้ามโรบินสันบางรัก)    ก่อนถึงร้านข้าวขาหมูตรอกซุง   
   
เซนต์หลุยส์           
    ครัวเจเซนต์หลุยส์   
    48 ซอยสาทร 11 ถนนสาทรใต้ เขตสาทร    0-2672-3424 # 0
   
    บจ.แน็ทเชอรัล
    93/133 ซอยเซ็นต์หลุยส์3 ถนนจันทร์ แขวงทุ่งวัดดอน    0-2212-8190
   
ตรอกจันทร์        
    วัดไผ่เงิน
    864/3 ถนนจันทร์ ซอยวัดไผ่เงิน18 เขตบางคอแหลม    0-2211-9817
   
    บจ. ยื่อซิน
    309/31 ถนนจันทร์44 แขวงพระยาไกร เขตบางคอแหลม    0-2212-9146
   
    เสียน หยง ซู่ สือ เหวียน
    1146/4-5 ถนนจันทร์ 39 สะพาน 2 แขวงทุ่งวัดดอน    0-2212-5015
   
สีลม            
    ข้าวต้ม-อาหาร   
    ในศูนย์อาหารชั้น 3 อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ ถนนสีลม
   
    เพื่อสุขภาพ   
    ตรงข้าม รพ. กรุงเทพคริสเตียน
   
    มังสวิรัติ อร่อย   
    ในศูนย์อาหารชั้น 3 อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ ถนนสีลม   
   
สาธุประดิษฐ์            
    รุ่งเจริญ
    496/16 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา 0-2873-3244#1 , 2 0-7049-1868
   
เจริญกรุง           
    ป้านิด มังสวิรัติ เจ   
    2194/10 ปากซอยเจริญกรุง74/2 เยื้อง สน. นครบาล    0-2489-0007
   
    วัดพระยาไกร
    แขวงบางคอแหลม    0-9894-1447
   
จอมทอง            
    เจคุณเอ็ง
    120/22 อยู่ระหว่างซอยจอมทอง 9-10 ถนนจอมทอง    0-2878-0604

เจริญนคร           
    คุณตู่-อาหารเจ   
    1063/21 ถนนเจริญนคร 17 บางลำพูล่าง เขตคลองสาน    0-2862-5768 # 1

    ธนบุรี            
    นำเฮง อาหารเจ
    522/5 ถนนประชาธิปก สี่แยกบ้านแขก แขวงหิรัญรูจี    0-2465-9457
   
เพชรเกษม           
    ธรรมเกิด ทรัพย์
    174 ถนนเพชรเกษม ปากซอย 30-32 แขวงปากคลอง    0-2457-4381
   
    เจเจ
    270/2 อาคารอริยสัจสี่ ซอยเพชรเกษม65 แขวงบางแค เขตบางแค 0-2421-0489 , 0-2421-5286

สวนพลู            
    สวนพลู มังสวิรัติ
    455/26 ตรงข้ามตลาดสวนพลู ถนนสาทรใต้    0-2287-4606 , 0-9771-5248

คลองตัน            
    เจฉือ เซียงหยวน
    601 ซอยปรีดีพนมยงค์25 ถนนสุขุมวิท71 ตรงข้าม    0-2713-4478 ร.ร.สุเหร่าสามอิน เขตวัฒนา   

สุรวงศ์      
    ฮูหยิน
    322/2 อาคารสุรวงษ์วัฒนา ถนนสุรวงศ์    0-2267-1175

เยาวราช            
    เล่งหมวย อาหารเจ
    136/1 เล่งบ๊วยเอี้ย ถนนเจริญกรุง 16    0-2221-1748
   
    เจ๊ 4
    อาหารเจ    136/1 เล่งบ๊วยเอี้ย ถนนเจริญกรุง 16    0-2221-3633 , 0-2223-7157

ท่าน้ำราชวงศ์            
    เจ 204 ราชวงศ์
    239 ถนนราชวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงค์    0-2685-4475
   
วังบูรพา - พาหุรัด           
    คุณเจ้น้อย
    หลังห้าง ATM พาหุรัด ถนนจักรเพชร วังบูรพาภิรมย์    0-2623-7200 , 0-9892-5350
   
    คุณหนุ่ย
    หลังห้าง ATM พาหุรัด ถนนจักรเพชร วังบูรพาภิรมย์    0-9680-0337 , 0-9788-3900

เสาชิงช้า            
    อร่อย
    152 ถนนดินสอ เสาชิงช้า เขตพระนคร    0-2224-4517 , 0-1843-2241

สามย่าน        
    อบอุ่นอาหารเจ
    1519-21 ตรงข้ามโรงหนังรามา ถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน    0-2215-4395
   
    อิ่มบุญ
    1497 ถนนพระราม4 จุฬา ซอย11    0-2215-4296 , 0-2215-2357
   
    หยู่อี่เจ
    285 ตรอกพระยาสิงห์เสนีย์ ถนนพระราม 4 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน 0-2219-1721 , 0-6068-9384
   
มาบุญครอง            
    พลตรี จำลอง
    แผงชุดศูนย์อาหาร ชั้น 6 มาบุญครองเซ็นเตอร์
   
สยามเซ็นเตอร์            
    KOKO
    262/2 สยามสแควร์ ซอย 3    0-2658-4094
   
    สิริกุล
    แผงชุดศูนย์อาหาร ชั้น 3 สยามฯ และที่ตึกโซโก้ชั้น 5 (ศูนย์อาหาร)    0-1849-5282
   
เพชรบุรี            
    มังสวิรัติ คุณปอ
    ติดอาคารวานิช ด้านหลังศูนย์อาหาร-ขายเสื้อผ้า

อาหารมังสวิรัติใครๆก็ทานได้


เพื่อนๆหลายท่านอาจเริ่มเบื่อกับการทานเนื้อสัตว์เพราะปัจจุบันนี้หลายที่ที่ทำอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักได้มีการปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติมมากมาย ทำให้เพื่อนๆบางท่านเริ่มตระหนักและหันมาดูแลเรื่องอาหารการกินมากขึ้น และอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผมจะมานำเสนอข้อมูลวันนี้คือ อาหารมังสวิรัติ ที่เราคุนเคยกันมาอย่างดี ลองอ่านข้อมูลประกอบเป็นความรู้ดูนะครับ

คนทั่วไปมักเข้าใจว่า ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์จะไม่แข็งแรง และเป็นโรคขาดอาหาร แต่ความเป็นจริงปรากฏว่า คนที่กินอาหารมังสวิรัติ มีสุขภาพสมบูรณ์กว่า และไม่เป็นโรคขาดอาหาร กลับจะเป็นโรคน้อยกว่าด้วย เช่น โรคหัวใจวาย โรคมะเร็ง โรคพยาธิ และติดเชื้อจากสัตว์
อาหารมังสวิรัติไม่แตกต่างจากอาหารที่คนเรากินทั่วๆไปมากนัก เพียงแต่นักมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ เขากินถั่วต่างๆ แทน เช่น ถั่วลิสง และ ถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ และนมถั่วเหลือง เป็นต้น

มังสวิรัติกินอะไรได้บ้าง ,การกินมังสวิรัติ,มังสวิรัติคืออะไร,อาหารมังสวิรัติ,ร้านอาหารมังสวิรัติ
        
     อาหารมังสวิรัติไม่ใช่มีไว้เฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่ถือศีล หรือเคร่งครัดในเรื่องศาสนาเท่านั้น แต่ปัจจุบันคนทั่วโลกหลายล้านคนหันมากินอาหารมังสวิรัติ เพื่อสุขภาพเป็นหลักใหญ่
       นักมังสวิรัติ จำแนกได้ 4 ประเภท
       1. กินธัญพืช ( ข้าวหรือข้าวกล้อง) ถั่ว พืชผักและผลไม้ ( Vegan)
       2. กินเหมือนข้อ 1 แต่ดื่มนมด้วย ( Lacto-vegetarian)
       3. กินเหมือนข้อ 1 แต่ดื่มนมและกินไข่ด้วย ( Lacto-ovo-vegetarian)
       4.กินเจ กินเหมือนข้อ 1 แต่ งด กุยช่าย ต้นหอม และกระเทียม (Chinese vegetarian)
      
       ประมาณ 500 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์และประชาชนส่วนมาก คิดว่าโลกแบน มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่เชื่อว่าโลกกลม เช่น โคลัมบัส ซึ่งย่อมเสี่ยงชีวิต เพื่อพิสูจน์ให้ชาวโลกได้รู้ว่าที่แท้โลกเรากลม โดยแล่นเรือค้นพบอเมริกาแต่กระนั้นต้องอาศัยเวลานานกว่าคนทั่วไปจะยอมรับในความจริงข้อนี้ ก็เช่นเดียวกันกับสมัยนี้ ที่คนส่วนใหญ่ยังคิดว่า การกินอาหารมังสวิรัติ จะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเท่ากับคนที่กินเนื้อสัตว์ ทั้งๆที่ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ในเมืองไทยเอง ก็มีแพทย์ และนักโภชนาการหลายท่านยืนยันว่า คนกินอาหารมังสวิรัติไม่มีปัญหาด้านการเจริญเติบโต หรือด้านสุขภาพเลย เพราะมีหลักฐานชัดเจนอยู่ใน 2 ข้อ ต่อไปนี้ คือ
       1.หลักฐานทางโภชนาการ หรือทางวิทยาศาสตร์
       2.หลักฐานจากชีวิตจริงของนักมังสวิรัติ
      
       ตอนนี้ เรามาพูดกันถึงหัวข้อที่ 1 มีหลักฐานพิสูจน์ แล้วว่า อาหารมังสวิรัติมีคุณค่าทางธาตุอาหารครบทุกหมู่ โปรตีนในถั่วเหลืองและถั่วต่างๆ ตลอดจนธัญพืช มีคุณภาพเท่าเทียมกับเนื้อสัตว์ จึงไม่ต้องห่วงว่า คนกินอาหารมังสวิรัติ จะได้โปรตีนไม่เพียงพอ โปรตีนบางชนิดที่ถั่วมีน้อยนั้น เราจะเสริมได้ง่ายๆ โดยการกินอาหารประเภทข้าว ซึ่งมีโปรตีนที่สำคัญจำนวนมาก คือ เมไธโอนิน ( Methionine) ในการประชุมนักโภชนาการนานาชาติครั้งที่ 6 ที่ประเทศอังกฤษมีรายงานตามหลักโภชนาการออกมาว่า การรวมตัวของโปรตีนจากพืชต่างชนิดกันจะทำให้ได้โปรตีน ไม่ต่างจากโปรตีนที่ได้จากสัตว์เลย
      
       ส่วนที่เด็กกินอาหารมังสวิรัติ จะได้โปรตีน และสารอาหารต่างๆ เพียงพอหรือไม่นั้น คำตอบคือ ไม่มีปัญหาเพราะเด็กที่กินอาหารมังสวิรัติ ใช่ว่าจะกินพืชผักทันทีที่ลืมตาดูโลก เด็กจะดื่มนมแม่ก่อน ( หรือไม่ก็นมผง) พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มกินข้าว พืชผัก และถั่วบด และผลไม้ เช่น ส้ม กล้วย แต่เด็กก็ยังดื่มนมต่อไปเรื่อยๆ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่กินอาหารมังสวิรัติมักจะดื่มนม หรือนมถั่วตลอดไป ในขณะที่บางคนก็กินไข่ด้วย ความกังวลที่ว่า เด็กขาดธาตุอาหารจึงเป็นอันตัดไป
      
       ข้อ 2 หลักฐานทางภาคปฏิบัติจากชีวิตจริงที่นักมังสวิรัติ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่กินอาหารมังสวิรัติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มีความเฉลียวฉลาดเหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ สมองเจริญเติบโตดีเหมือนกันและอาจจะดีกว่าเสียด้วย จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ที่มีคนเก่งๆ ของโลกเป็นนักมังสวิรัติ เช่น เลียวนาโด ดาวินซี, เซอร์ไอแซค นิวตัน, มหาตมะคานธี และนักกีฬาเหรียญโอลิมปิก อีกหลายท่าน ดูกันง่ายๆเช่น ชนชาติ ต่างๆ เช่นที่ อินเดีย มีซิกข์ ฮินดู แยนหรือคริสเตียนคณะเซเว่นเดย์แอ็ดเวนตีส เขากินอาหารมังสวิรัติกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เขาไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาเขาก็คงสูญพันธ์ไปแล้ว
       
       ผักเป็นอาหารจำเป็นสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักมังสวิรัติหรือไม่ แต่ก็มีบางคนไม่ค่อยกินผักเสียเลย เราก็ขาดแร่ธาตุต่างๆตลอดจนกากใยที่มีอยู่ในผัก ทางที่ถูกคือ เราต้องล้างผักในน้ำที่ไหลริน หลายๆครั้ง เพื่อให้น้ำนั้นชะล้างยาฆ่าแมลงออกไป หรือถ้าทำได้ ก็ปลูกผักสวนครัวไว้เองในบริเวณบ้าน
      
       นักวิจัยในสหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบว่าเนื้อสัตว์ต่างๆที่คนนำมาบริโภค มียาฆ่าแมลงมากกว่าพืชผัก บางทีมากกว่าถึง 13 เท่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะสัตว์ต่างๆ ก็กินพืชผัก หรือหญ้าที่มียาฆ่าแมลงเข้าไป ยิ่งอายุของสัตว์ยืนนานเท่าใด ก็ยิ่งสะสมไว้มากเท่านั้น
      
       สรุปแล้ว การกินอาหารมังสวิรัติที่ถูกหลักจะปลอดภัย ไม่มีปัญหาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และทำได้ง่ายๆโดยการกินอาหาร 4 ประเภทต่อไปนี้ 1. ธัญพืช ( ข้าว) 2. ผัก 3. ผลไม้ 4.ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วลิสง หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ( นมถั่วเหลือง) ฟองเต้าหู้หรือโปรตีนเกษตร ( เนื้อเทียม) หมี่กึน หรือ Gluten ( ส่วนไขมันไม่ต้องห่วงเพราะมีอยู่แล้วในอาหารประเภทนี้)
       
       ดร. จี เอส ฮันติงตัน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาระบบย่อยและฟันของมนุษย์ และยืนยันว่า มนุษย์เรามีระบบย่อยและฟัน ที่เหมาะสมที่จะย่อยหรือบดเคี้ยวพืชผักมากกว่าเนื้อสัตว์
      
       ปัจจุบันเมืองไทยเรายังมีเด็กและผู้ใหญ่เป็นโรคขาดอาหาร การกินอาหารมังสวิรัติจะเป็นวิธีหนึ่งที่แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร เพราะอาหารพืชผักและถั่ว ราคา ถูกกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนในถั่วเหลืองราคาถูกกว่าโปรตีนในเนื้อวัว ประมาณ 6 เท่า เช่น เนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 60 บาท ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม ประมาณ 20 บาท แต่ให้โปรตีนเป็น 2 เท่าของเนื้อสัตว์ และมีคุณภาพทางโปรตีนเท่าเทียมกัน ( เมื่อกินข้าวด้วย) ถ้าคนมีรายได้น้อยจะเลิกเห่อหรือหลงค่านิยมของการกินเนื้อสัตว์ ที่ต้องเอาเงินที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก ไปซื้อหาเนื้อหรือหมูที่มีราคาแพงมากิน และหันมาพึ่งถั่วเหลืองหรือถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ก็จะได้อาหารที่มีประโยชน์ในราคาประหยัดกว่า และเขาจะได้อาหารที่เพียงพอ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออย่างเช่นทุกวันนี้ จะเป็นการประหยัด และช่วยไม่ให้เป็นโรคขาดสารอาหารด้วย เป็นการสนองตอบนโยบายของรัฐบาล ที่ปราถนาให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุขภาพดีและมีความสุขโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
      
       ในต่างประเทศได้มีผู้เชี่ยวชาญคำนวณแล้วว่าคนกินเนื้อสัตว์ 1 คน ต้องใช้เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ที่จะผลิตอาหารให้เขากิน แต่ถ้าเขากินแต่พืชผัก จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ดังนั้น เราจะมีที่ดินเหลือไปผลิตอาหาร ให้เพียงพอกับประชากรทั่วประเทศ
      
       สรุป การกินอาหารมังสวิรัติ ดีกว่าการกินเนื้อสัตว์เพราะ
      
       1. ประหยัดกว่า อาหารพืชผัก ( มังสวิรัติ) ถูกกว่าเนื้อสัตว์ แต่มีคุณค่าทางอาหารเท่าเทียมกัน
      
       2.มีสุขภาพแข็งแรงกว่า เนื่องจากเนื้อสัตว์มีไขมันอิ่มตัวมาก ( คอเรสเตอรอล) ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดโรคหัวใจวายง่ายขึ้น คนกินเนื้อสัตว์จะมีโอกาสเป็น โรคมะเร็ง โรคพยาธิ และโรคต่างๆ เช่น วัณโรค โรควัวบ้า โรคไข้หวัดนก และโรคอื่นๆที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้จากสัตว์มากกว่าคนที่กินมังสวิรัติ ส่วนคนที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่า คนที่รับประทานอาหารเนื้อสัตว์ ร้อยละ 50 และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย น้อยกว่าหลายเท่า เมื่อคนเป็นโรคมาก สุขภาพก็จะทรุดโทรม ประชาชนก็จะขาดคุณภาพ ประเทศชาติก็จะพัฒนาได้ยาก
      
       โปรดมั่นใจได้ว่า การกินมังสวิรัติที่ถูกต้อง จะทำให้มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี และไม่เพียงแต่เท่านั้น ด้านสติปัญญาและจิตใจก็จะดีขึ้นด้วย
      
       โปรตีนจากถั่วเหลือง มีมากกว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์ 1 เท่า
       เนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม 60 บาท
       ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม 20 บาท
       เพราะฉะนั้น โปรตีนถั่วเหลือง ถูกกว่า โปรตีนในเนื้อสัตว์ 6 เท่า
      
       คุณภาพทางโปรตีนของพืชผัก เหมือนกับคุณภาพทางโปรตีนของเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนบางชนิดที่ถั่วมีน้อยนั้น จะเสริมได้ง่ายๆโดยการกินอาหารประเภทข้าว ซึ่งมีกรดอะมิโน ( Methionine) มาก
      
       จะกินอาหารมังสวิรัติได้อย่างไร....... ?
      
       การกินอาหารมังสวิรัติง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ หรือการศึกษาสูง และก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า อาหารชนิดใดที่มีแคลอรี่ หรือคุณค่าทางอาหารเท่าไร ขอให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
      
       1.กินอาหารหลายชนิดหมุนเวียนกัน ก) ธัญพืชหรือข้าวกล้อง ข) พืชผัก ค) ผลไม้ ง) ถั่วเมล็ดแห้ง ( กินนมหรือไข่ก็ได้หรือหลีกเลี่ยงได้จะดีกว่า)
       2.กินอาหารให้เพียงพอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ( ไม่อ้วนและไม่ผอม)
       3. กินอาหารธรรมชาติไม่ค่อยดัดแปลงมาก
      
       สรุป กินอาหารมังสวิรัติง่ายมาก กินเหมือนที่คุณเคยกินทุกวันนั่นแหล่ะ แต่เอาเนื้อสัตว์ออก แล้วเอาถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ( นมถั่วเหลือง) ฟองเต้าหู้หรือโปรตีนเกษตร ( เนื้อเทียม) หมี่กึน หรือ (GLUTEN) แทนเท่านั้นเอง
เรื่อง : น.พ. โชติช่วง ชุตินธร
ที่มาข้อมูล : manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9490000134975
tag : มังสวิรัติกินอะไรได้บ้าง ,การกินมังสวิรัติ,มังสวิรัติคืออะไร,อาหารมังสวิรัติ,ร้านอาหารมังสวิรัติ


---------------------------------------------------------------------------


กินมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ พิชิตโรคอ้วน 

การที่โรคอ้วนระบาดเนื่องจากว่าคนเราทุกวันนี้มีกินกันมาก แต่ไม่ได้กินดีอยู่ดีตามที่ควรจะเป็น แต่เป็นการกินผิดๆ กินอาหารขยะกันมากมาย อ้วน หนัก หนา ปรมาโรคา เป็นชื่อเรื่องของบทความที่ผมเคยเขียนเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ปัจจุบันโรคอ้วนก็ยังเป็นปัญหา และเป็นปัญหามากขึ้นถึงขั้นระบาดไปทั่วโลก ทำให้โรคที่ตามมากับความอ้วน เช่น โรคเบาหวาน พลอยเป็นโรคระบาดไปทั่วโลกด้วย องค์การอนามัยโลกกำลังเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะเด็กๆ ถูกพ่อค้ามอมเมา เยาวชนตกเป็นเหยื่อนักการตลาด มีโฆษณาอาหารขยะในสื่อสารมวลชนเป็นประจำ ขณะนี้รัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ ได้ออกกฎหมายห้ามโฆษณาเหล้าแล้ว ซึ่งคงจะทำให้การดื่มเหล้าลดลงบ้าง แต่ยังไม่ได้ทำอะไรกับอาหารขยะเลย ที่ประเทศพัฒนา เช่น สหรัฐอเมริกา เขามีกลุ่มคนผู้หวังดีต่อชาติร่วมมือกันต่อต้านอาหารขยะ มีการรณรงค์หลายรูปแบบ รวมทั้งการล็อบบี้ผู้แทนราษฎรให้ออกกฎหมายคุ้มครองเยาวชน ห้ามขายอาหารขยะในโรงเรียน ฯลฯ

ในขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้ลงมือทำอะไรกับอาหารขยะ คนไทยที่รักสุขภาพทั้งหลายจึงควรลงมือทำกันเองไปก่อน โดยงดการกินอาหารขยะ พยายามลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดคือการลดอาหาร เช่น ลดปริมาณที่กินในมื้อเย็นลง ร่วมกับการออกกำลังกาย ไม่ใช่การออกกำลังกายอย่างเดียวแต่ไม่ควบคุมอาหาร การออกกำลังกายจะช่วยพยุงน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้ขึ้น การลดอาหารที่ดีอีกวิธีหนึ่ง คือ กินอาหารมังสวิรัติที่ถูกวิธี อาหารมังสวิรัติมีผลดีหลายอย่าง คือ นอกจากลดน้ำหนักได้แล้วยังสามารถช่วยให้โรคต่างๆ หลายอย่างดีขึ้น เช่น เบาหวาน โรคหัวใจดีขึ้น สมองเสื่อมช้าลง

จากการวิจัย มาธา แคลร์ มอริส ที่มหาวิทยาลัย รัชยูนิเวอร์ซิตี เมดิคัลเซ็นเตอร์ ที่ชิคาโก เมื่อไม่นานมานี้พบว่าการกินอาหารที่มีผักมากมีผลทำให้สุขภาพของสมองดีขึ้น คือ สมองเสื่อมช้าลง เขาทำการศึกษาเป็นเวลา 6 ปี พบว่าคนที่กินอาหารที่มีผักมากวันละ 2 มื้อมีความเสื่อมน้อยกว่าคือดูหนุ่มกว่าวัย 5 ปี จากการวิจัยที่ชิคาโกซึ่งทำการศึกษาในผู้ชายและผู้หญิงจำนวนเกือบ 2,000 คนพบว่าการกินผักมากมีแนวโน้มทำให้สมองเสื่อมช้าลง ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเจ๋งเป้ง แต่เป็นงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ชี้ไปในแนวทางเดียวกับที่เขาเคยทำการศึกษาในผู้หญิงมาแล้ว

การวิจัยที่ชิคาโกที่ว่านั้นเขาใช้อาหารที่มีผักวันละ 2 จาน (ส่วนเสิร์ฟ) ผักที่สำคัญของเขาคือ ผักโขม และ เคล ซึ่งเขาคิดว่าเป็นผักที่ให้ประโยชน์มากเนื่องจากมีวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยต้านสารก่อความเสื่อมของเซลล์ โดยทั่วไปผักมีวิตามินอีมากกว่าผลไม้ ซึ่งเขาไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับการลดความเสื่อมในการวิจัยชิ้นนั้น การกินผักของคนไข้ที่เขาทดลองส่วนมากมักจะกินกับน้ำมันชนิดที่ดีซึ่งช่วยการดูดซึมวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระให้เป็นไปได้ด้วยดี น้ำมันที่ดีที่ว่านั้นช่วยทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดต่ำ ซึ่งทำให้หลอดเลือดไม่ตีบหรือตันจึงมีผลดีต่อสุขภาพของสมอง งานชิ้นนี้บ่งชี้ถึงผลดีของผักไม่ใช่ผลไม้ ทำให้คิดไปได้ว่าการกินผักมากมีผลดีจริง ไม่ใช่แค่บ่งชี้ว่าคนกินผักมีสุขนิสัยที่ดีเท่านั้น

งานวิจัยนี้มีผู้เข้าร่วม 1,946 คน ซึ่งมีอายุ 65 ปีหรือมากกว่า คนเหล่านี้ได้กินผักใบเขียว (หั่นแล้ว) มื้อละครึ่งถ้วยตวง หรือ 1 ถ้วยตวงถ้ายังไม่หั่น เขาทำการทดสอบการทำงานของสมอง 3 ครั้งในห้วงเวลาการทดลอง 6 ปี โดยทั่วๆ ไปคนเรามีความเสื่อมถอยของการทำงานของสมอง แต่คนที่กินผักมากกว่าวันละ 2 ถ้วยมีความเสื่อมน้อยกว่ากลุ่มที่กินไม่ถึงหรือไม่กินผักถึง 40% ผลการทดสอบทางสมองของกลุ่มกินผักมากที่เขาทำมาได้มีค่าเท่ากับผลการทดสอบสมองของคนที่หนุ่มกว่านั้น 5 ปี การศึกษานี้ยังพบว่าคนที่กินผักมากส่วนมากมีสุขนิสัยที่ดี คือ มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า ซึ่งเรารู้มาแล้วว่าดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แสดงว่าอะไรที่ดีต่อหัวใจก็ดีต่อสมองด้วย คนอเมริกันมีปัญหาเรื่องความอ้วนมาก ทำให้มีโรคอื่นเป็นตามมามากมาย เขาจึงพยายามหาวิธีลด น้ำหนักต่างๆ มาใช้หลายอย่าง มีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาทำการวิจัยไว้มาก คือ การใช้อาหารมังสวิรัติลดน้ำหนัก เมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมานี้ที่ประชุมวิชาการที่ชิคาโกก็ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องการใช้อาหารมังสวิรัติลดน้ำหนักที่มีประเด็นน่าสนใจ

นักวิจัยพบว่าคนที่กินอาหารมังสวิรัติเป็นเวลานาน 1 ปีจะสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่กินอาหารไขมันต่ำที่มีค่าแคลอรีเท่ากัน และระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลว คือ LDL ในเลือดก็ลดลงด้วยหลังจากกินมังสวิรัติมานาน 6 เดือน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหัวใจกล่าวว่า การลดโคเลสเตอรอลตัวร้ายมีผลดีต่อหัวใจ ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดน้อยลง ผลงานนี้เขาได้มาจากการทดลองในคนอ้วนชายและหญิงจำนวน 176 คน โดยสุ่มให้ 80 คนกินอาหารมังสวิรัติที่ให้กินนมและไข่ได้แต่ห้ามกินเนื้อแดง ไก่ หรือ ปลา ส่วนอีก 96 คนที่เหลือให้กินอาหารไขมันและแคลอรีต่ำแบบมาตรฐาน (ไขมันไม่เกิน 25% ของอาหารที่กิน) ผู้เข้าทดลองทั้งสองกลุ่มได้รับการสอนให้นับแคลอรีอย่างเคร่งครัด ได้รับการติดตามตรวจตราอย่างใกล้ชิด และชั่งน้ำหนักเป็นระยะๆ เป็นเวลา 1 ปี

ตอนแรกนักวิจัยเป็นกังวลว่าผู้เข้าทดลองจะไม่ทนกินอาหารมังสวิรัติไปจนสิ้นการทดลอง แต่พอเอาเข้าจริงพบว่าส่วนใหญ่ทนกินไปได้จนจบ และประมาณ 40% ของผู้เข้าทดลองยังคงกินมังสวิรัติต่อไปหลังการทดลอง 1 ปีไปแล้ว ส่วนคนที่กินอาหารมาตรฐานมีแค่ 30% ที่ยังคงกินอาหารไขมันและแคลอรีต่ำต่อไปหลังเสร็จการทดลอง แสดงว่าอาหารมังสวิรัติไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อตามที่หลายคนกลัวกัน แม้ว่าทำในคนอเมริกันที่ชอบกินเนื้อมากเป็นชีวิตจิตใจก็ตาม

จากการทดลองนี้พบว่าหลังจาก 18 เดือนของการทดลอง คนที่กินมังสวิรัติสูตรของเขา (ให้กินนมและไข่ได้) สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 11.2 ปอนด์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบลดได้ 10.4 ปอนด์ หลังจากเขาติดตามศึกษาดูต่อไปอีก 1 ปี ก็พบว่าคนที่ยังคงกินมังสวิรัติอยู่ต่อไปสามารถลดน้ำหนักได้ 16.5 ปอนด์ เมื่อเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่งที่เลิกกินสามารถลดได้แค่ 4.8 ปอนด์ และพบว่ากลุ่มที่กินมังสวิรัติต่อมีการกินไขมันน้อยลง และมีระดับโคเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) ลดลงอย่างชัดเจน การลดน้ำหนักโดยการกินมังสวิรัติได้ผลแน่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติให้คงเส้นคงวาตลอดไป แต่การทำอย่างนั้นเป็นเรื่องยาก สำหรับคนอเมริกันเขาแนะนำให้มีที่ปรึกษาทางด้านอาหารคอยติดตามให้คำแนะนำตลอดไป แต่ในเมืองไทยการทำอย่างนั้นคงไม่ได้ผล สิ่งสำคัญคือจะต้องศึกษาหาความรู้เรื่องโภชนาการ โดยเฉพาะเรื่องมังสวิรัติให้ดีพอจนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ ไม่หลงผิดหลงทางยิ่งกินมังสวิรัติแล้วยิ่งอ้วนขึ้นๆ

มีมิจฉาทิฐิหรือความเข้าใจผิดในเรื่องมังสวิรัติหลายอย่างที่ควรจะแก้ไขทำให้กลายเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนจะลงมือกินมังสวิรัติแบบสัมมาทิฐิได้
บางคนเข้าใจว่าอาหารมังสวิรัติมีไขมันต่ำ มีแคลอรีต่ำ ซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะถ้าปรุงไม่เป็นไม่รู้วิชาโภชนาการก็จะมีไขมันสูง แคลอรีสูงได้ และถ้าใช้น้ำมันปรุงอาหารผิดๆ ก็จะได้ไขมันอิ่มตัวที่ไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำมันที่ควรใช้ คือ ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันแคโนลา น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ โดยทั่วไปไขมันจากพืชดีกว่าไขมันจากสัตว์ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว (กะทิ) น้ำมันปาล์ม

บางคนคิดว่าอาหารมังสวิรัติรสชาติไม่ดี ซึ่งก็ไม่จริงเช่นกัน คนที่มีฝีมือปรุงเป็นก็มีรสชาติดีพอๆ กับอาหารเนื้อสัตว์ คนที่กินแล้วหลายคนติดใจ จากเหตุผลดังกล่าวนี้การกินอาหารมังสวิรัติก็อาจจะทำให้อ้วนและเป็นโรคร้ายได้เหมือนกัน บางคนเข้าใจผิดว่ากินมังสวิรัติแล้วได้บุญได้ขึ้นสวรรค์ จึงกินเข้าไปมากจนอ้วน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่กลายเป็นวิบากกรรมที่ไม่ดีต่อตัวเองเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนจึงอยากชวนมาลดความอ้วนด้วยการกินมังสวิรัติกัน ถ้ากินมังสวิรัติไม่ได้ 100% ก็เอาแค่ที่ทำได้มากที่สุดก็พอแล้ว หัดเรียนรู้และปรุงเองกินเองได้ยิ่งดี จะได้เลือกกินอย่างถูกต้องได้คุณค่าโภชนาการ แถมไม่ต้องไปเดือดร้อนตะลอนๆ หาที่กินให้เกิดความทุกข์ยากมากขึ้นด้วย

เรื่อง: นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
tag : มังสวิรัติกินอะไรได้บ้าง ,การกินมังสวิรัติ,มังสวิรัติคืออะไร,อาหารมังสวิรัติ,ร้านอาหารมังสวิรัติ